แถลงปฏิบัติการ CYBER CHASE ตำรวจไซเบอร์จับกุม 6 บัญชีม้าข้ามแดนไปสแกนหน้า เครือข่ายแอบอ้างเป็นกรมที่ดิน

แถลงปฏิบัติการ CYBER CHASE

ตำรวจไซเบอร์จับกุม 6 บัญชีม้าข้ามแดนไปสแกนหน้า เครือข่ายแอบอ้างเป็นกรมที่ดิน

.

วันจันทร์ที่ 25 มี.ค.67 เวลา 13.30 น. ณ อาคารสัมมนาและฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เมืองทองธานี)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) นำโดย นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง,

นายอาชวิน อยู่บำรุง คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นำโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,

พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ “Cyber Chase” กรณี ตำรวจไซเบอร์จับกุม 6 บัญชีม้าข้ามแดนไปแสกนหน้า เครือข่ายแอบอ้างเป็นกรมที่ดิน

.

สืบเนื่องจากกรณีมิจฉาชีพหลอกลวงให้ผู้เสียหายโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินของผู้เสียหาย และแนะนำเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินจริง คนร้ายจะขอเพิ่มเพื่อนกับผู้เสียหายทางไลน์เพื่อสะดวกในการติดต่อ จากนั้นจะให้ผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชันที่ส่งมาให้ คนร้ายจะสอบถาม หรือให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ตลอดจนการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อทำตามที่คนร้ายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินแนะนำ เพื่อลงทะเบียนการเสียภาษีที่ดิน หรือยืนยันกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ภายหลังจึงทราบว่าเงินในบัญชีธนาคารของผู้เสียหายที่ผูกไว้กับโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวได้ถูกโอนออกไป ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียเงิน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ในการหลอกลวงผู้เสียหาย เพื่อประโยชน์แห่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย จึงได้รวบรวมคดีที่เคยมีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ มีมูลค่าความเสียหาย รวม 4 ล้านกว่าบาทนั้น

.

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.สรกฤช พันธ์ศรี ผกก.3 บก.สอท.3 ดำเนินการสืบสวนสอบสวน พบว่า พฤติการณ์ที่กลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้มีลักษณะเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน ร่วมกันวางแผนโดยมีการใช้ หมายเลขโทรศัพท์ ติดต่อสื่อสารกับประชาชนทั่วไปโดยการสุ่มไม่เจาะจงว่าเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งในลักษณะแพร่กระจายเป็นเครือข่ายในลักษณะ Call Center โดยได้ใช้โทรศัพท์โทรเข้าไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหาย แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่และหลอกผู้เสียหายให้กดลิงก์ที่คนร้ายส่งมาให้ทางไลน์ และทำการดูดเงินโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารผู้เสียหายโดยที่ผู้เสียหายไม่ทราบ การโอนเงินดังกล่าว กลุ่มของคนร้ายได้มีการโอนเงินต่อๆ กันไปไม่ขาดช่วง ซึ่งเป็นการโอน รับโอน และถอนเงิน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 ราย โดยสามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 6 ราย ดังนี้

1.น.ส.อาทิตยาฯ อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดอ่างทอง

2.นายพงษ์ศักดิ์ฯ

3.น.ส.จำปีฯ อายุ 46 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว

4.นายสำราญฯ อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว

5.น.ส.พิมนัสฯ อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร

6.น.ส.มัณฑนาฯ อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดสิงห์บุรี

จากการสอบสวนจึงทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวเป็นบัญชีม้าที่กลุ่มคนร้ายใช้สำหรับรับและโอนจากผู้เสียหายไปยังผู้สั่งการ ซึ่งผู้ต้องหาที่ 1-5 รับว่าได้เดินทางไปที่ประเทศกัมพูชาผ่านทางจังหวัดสระแก้วเพื่อสแกนหน้าและรับข้อความ OTP สำหรับโอนเงิน ซึ่งได้รับค่าจ้างวันละ 4-5 พันบาท

.

จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ร่วมกันกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” ต่อไป

.

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปถึงนายหน้าผู้รวบรวมบัญชีม้าในคดีดังกล่าว เพื่อให้การป้องกันปราบปรามขบวนการดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาด มิให้สามารถนำบัญชีม้าไปใช้ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงโทษในการเปิดบัญชีอีกด้วย

.

#ตำรวจไซเบอร์ #สอท #จับกุม #กรมที่ดิน #แอปดูดเงิน

#ตำรวจไซเบอร์  #CCIB