ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้าคดีลวง “ชาลอต” ปิดเกมกองร้อยปอยเปต รวบ 4 ตัวการ ศาลสั่งจำคุกเกือบ 20 ปี เร่งล่าเจ้าของบัญชีคริปโตชาวเขมร
ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้าคดีลวง “ชาลอต” ปิดเกมกองร้อยปอยเปต รวบ 4 ตัวการ ศาลสั่งจำคุกเกือบ 20 ปี เร่งล่าเจ้าของบัญชีคริปโตชาวเขมร
ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้าคดีลวง “ชาลอต”
ปิดเกมกองร้อยปอยเปต รวบ 4 ตัวการ ศาลสั่งจำคุกเกือบ 20 ปี
เร่งล่าเจ้าของบัญชีคริปโตชาวเขมร
.
วันพฤหัสบดีที่ 5 มิ.ย.68 เวลา 13.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้าคดีลวง “ชาลอต” ปิดเกมกองร้อยปอยเปต รวบ 4 ตัวการ ศาลสั่งจำคุกเกือบ 20 ปี เร่งล่าเจ้าของบัญชีคริปโตชาวเขมร
.
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.67 น.ส.ชาล็อต ออสติน ดารานักแสดงชื่อดัง ได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน และข่มขู่ให้โอนเงินไปเพื่อตรวจสอบจำนวน 3 ครั้ง รวมจำนวน 4 ล้านบาท โดยระหว่างการหลอกลวง ได้มีคนร้ายแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลข่มขู่ตลอดเวลาช่วงสนทนา
.
หลังผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความจากกรณีดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อนุมัติโอนคดีจาก สน.สุทธิสาร บช.น. มาอยู่ในความารับผิดชอบของ บก.สอท.1 บช.สอท. โดยรับเป็นเลขคดีที่ 286/2567 และต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้มีคำสั่ง บช.สอท.ที่ 6/2568 แต่งตั้ง พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนรับผิดชอบ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และอัยการสูงสุดได้กรุณามอบหมายอัยการร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ด้วย
.
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี โดยมีตัวการหลักในขบวนการ จำนวน 5 ราย โดยติดตามจับกุมได้แล้วจำนวน 4 ราย ส่วนอีก 1 ราย เป็นเจ้าของบัญชีคริปโตเคอเรนซี่ชาวกัมพูชา อยู่ระหว่างหลบหนี
ในต่างประเทศ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัว
.
ในส่วนข้อหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ได้แก่ “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”, “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการขายบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”, “อั้งยี่”, “ซ่องโจร”, “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” และ “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน”
.
ต่อมา วันที่ 5 มี.ค.68 คณะพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการพิเศษแผนกคดีอาญา 10 และอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องทั้ง 4 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญา กระทั่ง เมื่อวันที่ 29 พ.ค.68 ศาลอาญาได้พิพากษาตามคดีหมายเลขดำที่ อทย.256/2568 คดีหมายเลขแดงที่ อทย.424/2568 ดังนี้
.
- จำคุกจำเลยที่ 1 (น.ส.ปารีฉัตต์ อายุ 40 ปี) จำนวน 6 ปี 150 เดือน (หรือประมาณ 18 ปี) ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่
เปิดบัญชีธนาคาร และข้ามไปสแกนใบหน้า ตึก 25 ชั้น ฝั่งกัมพูชา แล้วส่งมอบข้อมูลต่างๆให้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไว้
- จำคุกจำเลยที่ 2 (นายอาทิตญา อายุ 43 ปี) จำนวน 7 ปี 150 เดือน (หรือประมาณ 19 ปี) ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ รวบรวมบัญชีธนาคาร ส่งต่อให้กลุ่มของจำเลยที่ 4
- จำคุกจำเลยที่ 3 (นางจันทร์ทา อายุ 51 ปี) จำนวน 7 ปี 150 เดือน (หรือประมาณ 19 ปี) ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ รวบรวมบัญชีธนาคาร ส่งต่อให้กลุ่มของจำเลยที่ 4 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 2
- จำคุกจำเลยที่ 4 (นายธนาวุฒิ อายุ 28 ปี ) จำนวน 6 ปี 146 เดือน (หรือประมาณ 18 ปี) ซึ่งจำเลยรายนี้คือ “กองร้อยปอยเปต” ทำหน้าที่สวมเครื่องแบบข้าราชการตำรวจเพื่อวีดีโอคอลสนทนากับเหยื่อ เมื่อหลอกลวงเหยื่อสำเร็จ ก็จะให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 ซึ่งกลุ่มของจำเลยที่ 4 นั้นจะมีแอปธนาคารของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 แสกนใบหน้าโอนต่อไปยังกระเป๋าบัญชีซื้อขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ของชาวกัมพูชาที่ยังหลบหนี โดยจำเลยที่ 1 ได้เปิดไว้ และมอบยูสเซอร์เนมกับรหัสผ่านให้แก่กลุ่มจำเลยที่ 4 ไว้เช่นกัน
.
ในส่วนของความเสียหายนั้น ศาลได้สั่งให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับจากวันที่ 8 ธ.ค.67 ซึ่งจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นได้ ในกำหนด 1 เดือน ตาม ป.วิอาญา มาตรา 198
.
โดยหลังจากนี้ บช.สอท. จะดำเนินการขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม และจะมีหนังสือไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อขอหารือในประเด็นเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ เหรียญคริปโต ที่ทาง บช.สอท. ได้ขออายัดของผู้ต้องหาชาวกัมพูชาที่หลบหนีเอาไว้ที่ผู้ให้บริการ (Binance) ซึ่งตามขั้นตอนนั้น จะเป็นการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา เพื่อนำเหรียญคริปโตที่อายัดกลับคืนมาเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย
.
ในส่วนคดีอื่นๆ อีกจำนวน 71 คดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้โอนมา บช.สอท. นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน และจะแถลงความคืบหน้าให้แก่พี่น้องประชาชนทราบต่อไป
.
#ตำรวจไซเบอร์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ปอยเปต #คดีหลอกลวง #คริปโต #ฟอกเงิน #อาชญากรรมข้ามชาติ #หลอกโอนเงิน #Binance
#ตำรวจไซเบอร์ #CCIB