ตำรวจไซเบอร์แถลง ทลายเครือข่ายสแกมเมอร์ “ลี ยง พัด” พร้อมยึดคริปโตจากแฮกเกอร์ต่างชาติกว่า 14 ล้าน ตามรวบแฮกเกอร์หนีหมายจับ FBI ทลายเว็บพนันร้อยล้าน และ รวบ “เน วัดดาว” ทำคอนเทนต์แปะลิงก์โปรโมทเว็บพนัน
ตำรวจไซเบอร์แถลง ทลายเครือข่ายสแกมเมอร์ “ลี ยง พัด” พร้อมยึดคริปโตจากแฮกเกอร์ต่างชาติกว่า 14 ล้าน ตามรวบแฮกเกอร์หนีหมายจับ FBI ทลายเว็บพนันร้อยล้าน และ รวบ “เน วัดดาว” ทำคอนเทนต์แปะลิงก์โปรโมทเว็บพนัน
ตำรวจไซเบอร์แถลง ทลายเครือข่ายสแกมเมอร์ “ลี ยง พัด” พร้อมยึดคริปโตจากแฮกเกอร์ต่างชาติกว่า 14 ล้าน ตามรวบแฮกเกอร์หนีหมายจับ FBI ทลายเว็บพนันร้อยล้าน และ รวบ “เน วัดดาว” ทำคอนเทนต์แปะลิงก์โปรโมทเว็บพนัน
.
วันพุธที่ 12 พ.ย.68 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 บก.สอท.2 นําโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คําชํานาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.คมกฤช สุขไทย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ตอท.
พล.ต.ต.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ ผบก.อก.บช.สอท., นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ ปปง., นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง., นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จํากัด และ Mr. Akbar Akhtar หัวหน้าฝ่ายสืบสวนประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไบแนนซ์ (BINANCE) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมคดีสําคัญ จํานวน 5 คดี ดังนี้
.
คดีที่ 1 ตํารวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย "ลี ยงพัด" องค์กรอาชญากรรมฟอกเงินข้ามชาติ
คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีปปง.มีคําสั่งยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายนาย ลี ยงพัด (พัด สุภาภา) จํานวน 79 ล้านบาท และต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศ “ถอนสัญชาติไทย” นาย ลี ยงพัด (พัด สุภาภา) ด้วยเหตุเกี่ยวข้องขบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์ และฉ้อโกงประชาชน รวมถึงถูกทางการสหรัฐประกาศควํ่าบาตร
เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. ซึ่งรับผิดชอบคดีองค์กรอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงได้ทําการสืบสวนสอบสวนขยายผลในส่วนอื่นๆเพิ่มเติม จนพบว่า นาย ลี ยงพัด กับพวก เป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันกับครอบครัวของ นาย ก๊ก อาน ซึ่งถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้ตรวจสอบพบหลักฐานทางการเงินของ นายลี ยงพัด ว่ามีการรับโอนเงินจากกลุ่มขบวนการแก๊ง Scammer ที่ทําการหลอกลวงผู้เสียหายชาวไทยหลายรายด้วยกัน นอกจากนั้นแล้ว จากการสืบสวนยังมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่า นาย ลี ยงพัด คือ เจ้าของตึก “โอร์เสม็ด รีสอร์ท” ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของแก๊ง Scammer ในจังหวัดอุดรมีชัย ในประเทศกัมพูชา
ต่อมาในวันที่ 6 พ.ย.68 เจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.สอท. 3 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เสนอต่อศาลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับ นายลี ยงพัด และเครือข่าย รวม 5 คน ในความผิดฐาน “สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” ประกอบด้วย
1) นาย พัด สุภาภา หรือ ลี ยงพัด
2) นายโชคชัย สุภาภา (บุตรชายนายลี ยงพัด)
3) MR.IEK UN CHOI
(สัญชาติจีน)
4) MR.WEIBIN WANG (สัญชาติกัมพูชา)
5) MR.WEIQING WANG (สัญชาติกัมพูชา)
ต่อมาในวันที่ 9 พ.ย.68 พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คําชํานาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.คมกฤช สุขไทย ผบก.สอท.3 ได้สนธิกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. และเจ้าหน้าที่ ปปง. ร่วมเปิดปฏิบัติการ “ตรวจค้น” ที่พักอาศัยของนาย ลี ยงพัด และผู้ต้องหาตามหมายจับรวม 36 จุด ในพื้นที่ กทม. และ จว.ตราด เพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ และแสวงหาพยานหลักฐานสําคัญทางคดี ผลการปฏิบัติ สามารถตรวจยึดทรัพย์สินและพยานหลักฐานสําคัญทางคดีได้จํานวนมาก รวมมูลค่ากว่า 411 ล้านบาท เช่น
1. ห้องชุด จํานวน 3 ห้อง ในคอนโดหรูย่านสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. มูลค่ารวมกันกว่า 260 ล้านบาท
2. ห้องชุดในคอนโดหรูแห่งหนึ่ง พื้นที่แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
3. ที่ดิน จํานวน 1 แปลง ในพื้นที่ ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
4. เงินในบัญชีธนาคาร จํานวน 6 บัญชี มูลค่ารวมกว่า 88.2 ล้านบาท
5. รถยนต์ Toyota Alphardจํานวน 1 คัน โดยมีชื่อนายเซปิงภู บุตรชายของก๊กอานเป็นผู้ครอบครองมูลค่ากว่า3 ล้านบาท
6. รถยนต์ Mercedes Benz G400 เลขทะเบียนป้ายประมูล โดยมีชื่อ นายเซปิงภู บุตรชายของก๊กอาน
เป็นผู้ครอบครอง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท
7. กรมธรรม์ประกันชีวิต จํานวน 2 กรมธรรม์ มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท
8. โฉนดที่ดิน จํานวน 17 แปลง ในพื้นที่ จ.ตราด ที่มีชื่อ นายพัด สุภาภา เป็นผู้ครอบครอง (รอราคาประเมิน)
9. โฉนดที่ดิน จํานวน 5 แปลง ในพื้นที่ จ.ตราด ที่มีชื่อ นางมานี สุภาภา เป็นผู้ครอบครอง (รอราคาประเมิน)
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. จะได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อทําการสืบสวนขยายผลในคดีนี้เป็นการเฉพาะอย่างต่อเนื่องต่อไป และจะได้ประสานงานกับ “ตํารวจสากล” เพื่อออกประกาศสืบจับในต่างประเทศ รวมทั้งประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ ปปง. เพื่อติดตามยึด/อายัดทรัพย์สิน เครือข่ายนาย ลี ยงพัด ให้ได้ทั้งขบวนการ จนนําไปสู่การขุดรากถอนโคนเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่หลอกลวงเหยื่อคนไทยให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
.
คดีที่ 2 ตํารวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการ “Operation 293” ยึดคริปโตจากแฮกเกอร์ต่างชาติ คืนให้กับเหยื่อคนไทยกว่า 14 ล้านบาท
คดีนี้สืบเนื่องจากได้มีผู้เสียหายรายหนึ่ง ถูกติดตั้งมัลแวร์หรือโทรจันในคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ตัว ซึ่งคาดว่าเกิดจากการกดลิงก์จากเพจหรือเว็บไซต์เกี่ยวกับการลงทุน โดยโปรแกรมดังกล่าวจะเข้าไปค้นหารหัสผ่านใน Google Authenticator Key, Seed Phase, Seed Words ต่างๆ จนสามารถเข้าควบคุมบัญชีสําหรับเทรดคริปโตของผู้เสียหายได้ จากนั้นคนร้ายได้แปลงเหรียญคริปโตทุกสกุลของผู้เสียหายเป็น USDT (ยกเว้น Bitcoin) หลังจากนั้นจึงโอนเหรียญคริปโตเข้ากระเป๋าดิจิทัลที่คนร้ายเตรียมไว้ รวมมูลค่าความเสียหาย จํานวน 93,344.83 USDT และ 2.51 BTC (มูลค่า ณ เดือน มี.ค.68 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านบาท)
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. ต่อมา ทําให้ทราบว่า ผู้ก่อเหตุดังกล่าวเป็นแฮกเกอร์ชาวต่างชาติ จากประเทศในยุโรปฝั่งตะวันออกซึ่งมีพรมแดนติดกับทวีปเอเชีย จึงได้ประสานกับบริษัท Tether ซึ่งเป็นบริษัทที่กํากับดูแลเหรียญคริปโตดังกล่าว ให้ช่วยระงับการทําธุรกรรมจากกระเป๋าดิจิทัลของคนร้ายเป็นการชั่วคราว และหลังจากนั้นได้ทําการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม จนพบว่ามีเหยื่อชาวไทยที่ถูกผู้ก่อเหตุรายนี้ทําการ “แฮ็ก” ในลักษณะเดียวกันอีก จํานวน 6 ราย เป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 100,000 USDT (มูลค่า ณ เดือน มี.ค.68 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3.2 ล้านบาท) ในส่วนของเหยื่อชาวไทย 6 รายนี้ คนร้ายจะเข้าควบคุมบัญชีเทรดคริปโตของเหยื่อ จากนั้นจึงเพิ่มบัญชี Perfect Money
(ซึ่งปัจจุบันปิดให้บริการไปแล้ว) เป็นบัญชีรับเงิน ก่อนที่จะขายทรัพย์สินของเหยื่อผ่านทาง P2P และโอนเข้าบัญชี Perfect Money ดังกล่าว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. สามารถควบคุมกระเป๋าดังกล่าวของคนร้ายได้ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงหลังการ Unfreeze ซึ่งอาจถูกตั้งระบบ auto-sweep ให้ดูดเงินออกทันที เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงประสานฝ่ายเทคนิคของ Bitkub เพื่อตรวจสอบ Smart Contact และเพิ่มระบบความปลอดภัยเข้าไป จนกระทั่งสามารถโอนเงินจํานวน 432,000 USDT หรือกว่า 14 ล้านบาท ออกจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของคนร้าย เข้ามาเก็บรักษาไว้ที่กระเป๋ากลางของ บช.สอท. ได้สําเร็จ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการนําคืนผู้เสียหายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ปฏิบัติการ “Operation 293” ถือเป็นความสําเร็จและเป็นตัวอย่างสําคัญ ที่สะท้อนให้เห็นว่าการสืบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีความจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้สามารถต่อสู้กับคนร้ายข้ามชาติที่ใช้เทคนิคขั้นสูงได้ จนนํามาสู่การตรวจยึดคริปโตที่ถูกขโมยจากผู้เสียหายชาวไทย ไปสู่กระเป๋าของแฮกเกอร์ชาวต่างชาติ รวมมูลค่ากว่า 432,000 USDT หรือประมาณ 14 ล้านบาทได้
ซึ่งในวันที่ 10 พ.ย.68 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. ได้ส่งคืนเหรียญคริปโตที่ยึดคืนมาได้จากคนร้ายให้แก่ผู้เสียหายชาวไทย จํานวน 2 ราย รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาทเศษ หลังจากนี้จะได้ประสานให้ผู้เสียหายชาวไทยอีก 4 ราย มารับเหรียญคริปโตคืนจาก บช.สอท. ตามระเบียบ สําหรับในส่วนของการดําเนินคดีจะได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขอออกหมายจับคนร้ายและติดตามตัวมาดําเนินคดีในข้อหา “อาชญากรรมข้ามชาติ” ต่อไป
คดีที่ 3 ตํารวจไซเบอร์ รวบแฮกเกอร์ระดับโลก หลังหนี FBI ซุกตัวในเกาะภูเก็ต
คดีนี้สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. ได้รับการประสานจากสํานักสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (FBI) ว่ามีแฮกเกอร์ระดับโลกวัย 35 ปี รายหนึ่ง ซึ่งเคยเจาะระบบความปลอดภัยและโจมตีหน่วยงานรัฐทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้มีเป้าหมายเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จึงได้ประสานความร่วมมือกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง, กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว, สํานักงานพิสูจน์หลักฐานตํารวจ, สํานักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานในพื้นที่ จนทราบว่าคนร้ายรายนี้ได้เดินทางมากบดานอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
ต่อมา พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.สอท.5 และพล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ตอท. ประสานงานร่วมกับ พ.ต.อ.เกรียงไกร อาริยะยิ่ง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต ส่งทีมสืบสวนลงพื้นที่เพื่อติดตามพฤติกรรม และพบว่าแฮกเกอร์รายดังกล่าวได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ต.ค.68 ทางสนามบินภูเก็ตและพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จว.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้ประสานกับสํานักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอออกหมายจับผู้ต้องหาต่างชาติรายนี้ไว้ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลที่ประเทศอื่นร้องขอให้ส่งตัวข้ามแดน ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551”
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.สอท. ได้สนธิกําลังร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต, บก.สส.ภ.8 และ ภ.จว.ภูเก็ต นําหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้นห้องพักและจับกุมผู้ต้องหาต่างชาติรายนี้ไว้ได้ ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทั้งตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อนําไปตรวจพิสูจน์ทางเทคโนโลยีต่อไป และแจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลที่ประเทศอื่นร้องขอให้ส่งตัวข้ามแดน ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551” โดยมีเจ้าหน้าที่ FBI ร่วมสังเกตการณ์ และได้ควบคุมตัวผู้ต้องหานําส่งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคําร้องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการ ภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อไป
จากการร่วมปฏิบัติการระหว่างทางการไทยและสํานักสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (FBI) ในครั้งนี้ จะนําไปสู่ความร่วมมือในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันได้ถูกยกระดับเป็นวาระสําคัญของโลกในการร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องต่อไป
.
คดีที่ 4 ตํารวจไซเบอร์ ทลายเว็บพนันร้อยล้าน “GSA9GAME” ตั้งฐานใน จว.เชียงราย จับแอดมิน พร้อมเครือข่ายได้แล้ว 6 คน
คดีนี้สืบเนื่องจาก กก.1 บก.สอท.5 ได้สืบสวนพบเว็บไซต์พนันออนไลน์ เครือข่าย GSA9GAME ได้ลักลอบเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นการพนันและมอมเมาเยาวชน จึงได้สืบสวนและตรวจสอบเส้นทางการเงินจนพบว่า เว็บไซต์ดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ได้ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย และพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมกระทําความผิดไว้ได้ รวมจํานวน 21 ราย
พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.สอท.5 จึงได้ส่งกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.สอท.5 พร้อมนําหมายค้นศาลจังหวัดเชียงราย เข้าตรวจค้นพร้อมกัน จํานวน 4 จุด แบ่งเป็นในพื้นที่ อ.แม่สาย จํานวน 3 จุด และ อ.เมืองเชียงราย จํานวน 1 จุด ผลการตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวมจํานวน 6 ราย โดยมี 2 ราย เป็นผู้ต้องหาสําคัญ ที่ทําหน้าที่เป็นแอดมินดูแลด้านการเงินของเว็บไซต์ จัดหาลูกค้า และยังทําหน้าที่ลงโฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์ หรือยิงแอด ส่วนอีก 4 รายที่เหลือยอมรับว่าได้เปิดบัญชีธนาคารให้แก่เว็บพนัน
เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงิน
คดีที่ 5 ตร.ไซเบอร์รวบอินฟลูดัง “เน วัดดาว” โพสต์คอนเทนต์แปะลิงก์เว็บพนัน เจ้าตัวเผย เคยฟันรายได้สูงสุดถึงหลักล้าน สุดท้ายไม่รอด ศาลสั่งจําคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
คดีนี้สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ตํารวจ สอท.1 ได้ตรวจพบการโพสต์คอนเทนต์โฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งรัดดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดรายดังกล่าวอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นบัญชีเฟสบุ๊คที่มีผู้ติดตามเป็นจํานวนมาก โดยเกรงว่าจะเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี แก่ผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน จากการพิสูจน์ทราบพบว่าผู้โพสต์คือ นายมครินทร์ฯ หรือ “เน วัดดาว” อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีตามกฎหมาย
กระทั่งเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 68 สามารถติดตามตัวผู้ต้องหามาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐาน “ผู้ใดช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดย ทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตนเองได้กระทําความผิดตามที่เจ้าหน้าที่ตํารวจได้ทําการสืบสวนพบจริง โดยทําต่อเนื่องมาแล้วหลายปี ซึ่งผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้คิดคอนเทนต์รวมถึงเนื้อหาในการโฆษณาเว็บ พนัน แล้วติดต่อให้ตนเองเป็นผู้โพสต์ในบัญชีเฟสบุ๊คของตนเองเพื่อแลกกับค่าจ้างต่อครั้ง ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตนเคยได้รับค่าจ้างโฆษณาเว็บพนันต่างๆ ยอดเงินรวมสูงสุดถึงหลักล้านบาท จึงได้นําตัวส่งฟ้องศาลแขวงดอนเมือง
.
#ตำรวจไซเบอร์ #จับกุม #สแกมเมอร์ #คริปโต #แฮกเกอร์
ตำรวจไซเบอร์
CCIB
#CCIB