ตร.ไซเบอร์แถลงปฏิบัติการ TRUST NO ONE EP.4

ตร.ไซเบอร์แถลงปฏิบัติการ TRUST NO ONE EP.4

ตัดวงจรทุนจีนคริปโต ขยายผลยึดทรัพย์ครั้งมโหฬาร กว่า 1.5 พันล้านบาท

.

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี / วันนี้ (17 ส.ค.66) เวลา 15.00 น. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ร่วมแถลงข่าว Trust No One EP.4 "ปฏิบัติการตัดวงจรทุนคริปโต" โดยมี พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., พ.ต.อ.สุวัฒน์ เกิดแก้ว รอง ผบก.ตอท. และ พ.ต.อ.นิคม ชัยเจริญ ผกก.สอท.3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าว ณ อาคารประชุมสัมมนาและฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เมืองทองธานี)

.

สืบเนื่องจาก บช.สอท. ได้รับแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ เกี่ยวกับคดีหลอกลงทุนไฮบริดสแกม ซึ่งคนร้ายใช้โปรไฟล์ปลอมตีสนิทผู้เสียหายผ่านช่องทางสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ ก่อนจะชวนลงทุนในแพลตฟอร์มปลอมสำหรับเทรดเงินสกุลดิจิทัลหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยมีผู้เสียหายมากกว่า 20,000 คดี มูลค่าความเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยคนร้ายมีการดำเนินการที่ประเทศอื่นรวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยยากต่อการสืบสวน จึงได้สืบสวนหาคนร้ายตัวจริงที่ใช้บัญชีดังกล่าว โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ หรือ Homeland Security Investigation (HSI) รวมถึงหน่วยงานต่างประเทศและภายในประเทศ กระทั่งได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงไปสู่คนร้ายตัวจริง คือ

นายซู (Mr.Shaoxian Su) สัญชาติจีน พักอาศัยอยู่บ้านหรูราคาประมาณ 67 ล้านบาท ย่านศรีนครินทร์ จากการเฝ้าติดตามพฤติกรรมของนายซู และนางสาวยี่ (Ms.KEYI YE) (เพื่อนสาวคนสนิท) นำมาสู่ ปฏิบัติการ Trust No One ล่าข้ามโลก เข้าตรวจค้นและตรวจสอบสถานที่บ้านพักหรู ภายในโครงการหมู่บ้าน ย่านศรีนครินทร์ จำนวน 5 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้ 2 ราย คือ นายซู และนางสาวยี่ พร้อมทำการตรวจยึดของกลางรถยนต์หรู, กระเป๋าแบรนด์เนม, ทองรูปพรรณ, เงินสด, ตุ๊กตา Bearbrick, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์เคลื่อนที่, สมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม พร้อมยึดของกลางอื่น อีกหลายรายการ รวมมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท (Trust No One EP. 1 “ปฏิบัติการล่าข้ามโลก”)

.

ต่อมาได้มีการสืบสวนขยายผลจากปฏิบัติการข้างต้น จนพบความเชื่อมโยงว่ามีการใช้นอมินีคนไทยจดทะเบียนบริษัทและถือหุ้นแทน แล้วนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูจำนวนหลายแห่ง

จึงเข้าทำการตรวจค้นจำนวน 10 เป้าหมาย และสามารถยึด อายัดทรัพย์สินได้หลายรายการ อาทิบ้านเดี่ยวหมู่บ้าน ย่านกรุงเทพกรีฑา ราคาประมาณ 95 ล้านบาท จำนวน 4 หลัง, บ้านเดี่ยวหมู่บ้าน ย่านกรุงเทพกรีฑา ราคาประมาณ 40 ล้านบาท จำนวน 3 หลัง, ห้องชุด อาคารชุดมหานคร 1 ห้อง ราคาประมาณ 128 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นๆรวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท (Trust No One Ep.2 “ปฏิบัติการล่าขุมทรัพย์ทุนจีนคริปโต”)

.

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องจนปรากฎพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้กระทำความผิดรายอื่น ในลักษณะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน จึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญามีนบุรี โดยได้นำหมายของศาลอาญามีนบุรีเข้าตรวจค้นสถานที่ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

จำนวน 2 จุดจากการตรวจค้นในครั้งนี้สามารถตรวจยึด/อายัดผลการตรวจยึด รถยนต์หรู, ตู้เซฟ, โฉนดที่ดิน, สัญญาซื้อขายห้องชุด, เอกสารบริษัท และของกลางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมากหลายรายการรวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท (Trust No One Ep.3 “ปฏิบัติการล้างบางเครือข่ายราชาคริปโต”)

.

กระทั่งในวันนี้ (17 ส.ค.66) เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้เปิดปฏับัติการ Trust No One EP.4 “ปฏิบัติการตัดวงจรทุนคริปโต” โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์

รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3  ขอหมายค้นศาลอาญา และนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท.เข้าตรวจค้น สถานที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ โดยมีพยานหลักฐานที่เชื่อว่าได้นำเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในนามของบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น โดยพบเส้นทางการเงินที่มีการโอนเงินระหว่างบริษัทนิติบุคคลสัญชาติไทย แล้วนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ การกระทำดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น โดยจุดตรวจค้นทั้งในกรุงเทพฯ , ปทุมธานี และชลบุรี รวมทั้งสิ้น 29 จุด และนอกจากนั้นยังได้มีการขออนุมัติศาลอาญาเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีกสองราย ได้แก่

1.นางสาวเฝิงเฟย ไช่ (MS.PENGFEI CAI) สัญชาติจีน อายุ 31 ปี

2.นายอาบิน เย่ (Mr.YE ABIN) สัญชาติจีน อายุ 41 ปี

.

โดยจากการปฏิบัติการตรวจค้น 29 จุด สามารถจับกุม นางสาวเฝิงเฟย ไช่ ได้ที่คอนโดหรู ย่านลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ในความผิดฐาน "ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน"  โดยนางสาวเฝิงเฟย ไช่ มีความเกี่ยวข้องเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย มีลูกค้าเป็นคนจีนเกือบ 90% และสามารถตรวจยึดทรัพย์สินและพยานหลักฐานสำคัญได้ กว่า 100 รายการอาทิเช่น รถยนต์ บ้าน รวมถึงเอกสารสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และเอกสารสัญญาเช่าต่างๆ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท รวมปฏิบัติการทั้ง 4 ครั้งสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้ทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. จะได้ทำการประสานไปยัง ปปง. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนเฉลี่ยทรัพย์คืนแก่ผู้เสียหาย

.

ทั้งนี้ นิติบุคคลต่างด้าวซึ่งประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามและที่ต้องขออนุญาต คนต่างด้าวซึ่งเป็นกรรมการของนิติบุคคลในฐานะส่วนตัว และคนไทยซึ่งมีพฤติการณ์ให้ความช่วยเหลือโดยการถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจได้โดยหลีกเสี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกระทำการในลักษณะถือหุ้นแทนเพื่ออำพรางแหล่งที่มาของเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ทำให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจซื้อขายที่ดินและบริการให้เช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ จะมีความผิดฐาน "เป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจต้องห้ามหรือต้องขออนุญาต เป็นกรรมการหรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของนิติบุคคล และเป็นผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในนิติบุคคลเพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจได้โดยโดยหลีกเสี่ยงหรือฝ่ฝืนต่อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 4 (3) (ก) มาตรา 8 (1) (2) มาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 41  ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน และกรรมการบริษัท ก็มีความผิดด้วย

.

#ตำรวจไซเบอร์ #สอท #CyberPolice #จับกุม #จีนเทา #คริปโต


#ตำรวจไซเบอร์  #CCIB